ก่อนกล่าวถึงธรรมชาติและความแปรเปลี่ยนในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง จะขอแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของจารีตการคิดระหว่างคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงกับคัมภีร์อี้จิง ดังที่คัมภีร์อี้จิงได้สะท้อนให้เห็นแล้วถึงโลกทัศน์ของชาวจีนโบราณที่มนุษย์สามารถเข้าถึงธรรมชาติด้วยการสังเกตแบบแผนการแปรเปลี่ยนในธรรมชาติจนสามารถรวบรวมออกมาเป็นกฎเกณฑ์ต่างๆ คล้ายกับที่ปรัชญาตะวันตกเรียกมโนทัศน์นี้ว่า “Law of Nature” หรือกฎธรรมชาติ แต่แนวคิดในอภิปรัชญาจีนนั้น มโนทัศน์ “Lawgiver” หรือมโนทัศน์เกี่ยวกับผู้สร้างธรรมชาติไม่ได้มีความเป็นบุคคลเหมือน “พระเจ้า” (Personalized God) เช่น ในอภิปรัชญาของตะวันตกเลย
มโนทัศน์ทางอภิปรัชญาของจีนเกี่ยวกับบ่อเกิดแห่งจักรวาล คือ มโนทัศน์เกี่ยวกับสิ่งสัมบูรณ์สูงสุดที่ให้กำเนิดสรรพสิ่ง โดยเริ่มมีการกล่าวถึงว่า คือ “ไท่ชี่” (the Great Vital Energy) ในคัมภีร์อี้จิง เรื่อยมาจนถึงการกล่าวถึง “เต๋า” (the Way) ในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง แม้สิ่งทางอภิปรัชญา (Metaphysical Entity) ทั้งสองนี้จะมีนัยความหมายบางอย่างส่อให้เห็นว่าแตกต่าง เช่น อาจมองได้ว่า “ไท่ชี่” หมายถึง พลังชีวิตของจักรวาลที่พอจะมีความเป็นรูปธรรมอยู่บ้าง ส่วน “เต๋า” เป็นคำแทนสิ่งเร้นลับนามธรรมที่ไม่อาจสื่อถึงได้ด้วยภาษา มีความหมายในเชิงอธิบายวิถีการดำเนินไปของสรรพสิ่งมากกว่าที่จะระบุถึงสิ่งใดอย่างตายตัว แต่ยังมีลักษณะบางอย่างที่อาจพิจารณาได้ว่าทั้ง “ไท่ชี่” และ “เต๋า” นี้มีความสำคัญต่อกัน นั่นคือการมีลักษณะเป็นบ่อเกิดของ
สรรพสิ่ง และในขณะเดียวกันก็ดำรงอยู่ในสรรพสิ่งด้วย และลักษณะการให้กำเนิดธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนแบบทวิลักษณะ (Duality) ทั้งสองคัมภีร์ต่างก็มีความเห็นร่วมกัน ดังในบทที่ 42 ของคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง กล่าวถึง “เต๋า” ว่าเป็นบ่อเกิดของธาตุอินและหยางที่ดำรงอยู่คู่กัน และจากธาตุอินและหยางดังกล่าว ก็นำไปสู่การมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลเช่นเดียวกับหลักการของธรรมชาติที่อธิบายไว้ในคัมภีร์อี้จิง
“เต๋าให้กำเนิดแก่หนึ่ง
จากหนึ่งเป็นสอง
จากสองเป็นสาม
จากสามเป็นสรรพสิ่งในจักรวาล
จักรวาลที่ถูกสร้างสรรค์
ประกอบด้วย “หยัง” อยู่ด้านหน้า
“หยิน” (อิน) อยู่ด้านหลัง
สิ่งหนึ่งขาวสิ่งหนึ่งดำ
สิ่งหนึ่งบวกสิ่งหนึ่งลบ
ทั้งสองสิ่งผสมผสานกัน
จนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว”[1]
มโนทัศน์เรื่อง “เต๋า” บ่อกำเนิดสรรพสิ่งและอาการของธรรมชาติที่เหลาจื่อเสนอมีบทบาทสำคัญต่อหลักปรัชญาและหลักจริยศาสตร์ของจีนมาก เพราะถือเป็นพัฒนาการสำคัญที่คลี่คลายมาจากกระแสความความเชื่อเดิมอันเน้นการเซ่นสรวงบูชา การพยากรณ์ มาเป็นการไตร่ตรองทางปรัชญา และยังแสดงถึงความพยายามที่จะสืบทอดจารีตการคิดในอดีตที่เต็มไปด้วยมโนทัศน์ทางอภิปรัชญา โดยมิได้ทิ้งมิติทางอภิปรัชญาของยุคก่อนหน้าไปเสียทีเดียว ในด้านอุดมคติของคัมภีร์ ดังที่อาจารย์วิง-ซิท ชาน (Wing-tsit-Chan) กล่าวไว้ว่า จุดสำคัญสุดของข้อเสนอทางปรัชญาของเหลาจื่อก็คือการเสนอให้ “เป็นอิสระจากอันตรายทั้งปวงโดยตลอดช่วงชีวิตของตน”[2] ทำให้เห็นได้ว่าคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงมีอุดมการณ์ชีวิตคล้ายคลึงคัมภีร์อี้จิง นั่นคือการให้ค่าแก่ชีวิตพยายามแสวงหาหนทางในการรักษาชีวิตให้เป็นปกติสุขตามธรรมชาติ
“มีต้นกำเนิดแห่งจักรวาล
อันอาจถือได้ว่าเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง
จากต้นกำเนิดนี้เราก็อาจรู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น
เมื่อรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็สามารถสงวนรักษาต้นกำเนิดไว้ได้
ดังนั้นตลอดชีวิตของผู้ที่ปฏิบัติดังนี้
ย่อมรอดพ้นจากภัยทั้งปวง..”
เทียบกับแนวคิดในคัมภีร์อี้จิงที่กล่าวว่า
“ถึงแม้ว่าเราไม่อาจห้ามสายน้ำให้หยุดไหล
ห้ามสายลมให้หยุดพักได้
แต่ถ้าเราเรียนรู้จากธรรมชาติ
ประสานตนให้สอดคล้องกับความแปรเปลี่ยน
เราก็สามารถหลีกเลี่ยงจากข้อผิดพลาดอันยิ่งใหญ่
และดำรงอยู่ได้อย่างปรกติสุข”[1]
กล่าวโดยสรุปได้ว่า จารีตการคิดที่คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงรับอิทธิพลมาจากจารีตการคิดยุคก่อนหน้าก็คือ การสร้างทฤษฎีทางจริยศาสตร์ โดยใช้กรอบอ้างอิงจากโลกธรรมชาติอันเชื่อว่ายิ่งใหญ่กว่าและดีงามกว่ากรอบสังคมวัฒนธรรม ทางออกในการแก้ปัญหาสังคมของเหลาจื่อ
ประการแรก คือ การเสนอให้มนุษย์ตระหนักในการเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ โดยเน้นให้ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ของเต๋าและธรรมชาติ เพื่อให้รู้สึกว่าตนเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ส่วนหนึ่งในจักรวาลที่ยังต้องพึ่งพาธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต มนุษย์ควรจะดำรงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมและกตัญญูต่อธรรมชาติ ประสานตนเข้าร่วมกับวิถีแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และดีงาม ไม่ควรอหังการล่วงเกินวิถีที่ธรรมชาติดำเนินไปจนทำลายธรรมสัมพันธภาพที่ดำรงอยู่ เพราะการที่มนุษย์เข้าไปก้าวก่ายธรรมชาติ เพื่อสนองความต้องการที่เกินเลยของตน ในที่สุดย่อมทำให้ตนเองได้รับความเสื่อมสลายและหายนะตามมาในที่สุด ดังที่คัมภีร์กล่าวว่า
“มีบางคนที่คิดจะยึดครองโลก
และจัดการเปลี่ยนแปลงไปตามที่ตนปรารถนา
ข้าพเจ้าทราบดีว่าเขาคงทำไม่สำเร็จเป็นแน่
ด้วยโลกนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์
มนุษย์ไม่อาจยุ่งเกี่ยวบิดเบือน”[1]
ประการที่สอง คือ คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงแสดงนัยไว้ด้วยว่าการเข้าใจ “เต๋า” บ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งและความแปรเปลี่ยน ก็คือการรู้ถึงสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ด้วยความรู้ดังกล่าว ย่อมนำไปสู่แนวทางในการดำเนินชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ และท้ายที่สุดจะนำไปสู่สัมพันธภาพที่ดีระหว่างมนุษย์ได้ ตามนัยนี้ ดังจะเห็นได้ต่อไปว่า ในลักษณะการแปรเปลี่ยนต่างๆ ของเต๋าจะมีคุณค่าทางจริยธรรมแฝงอยู่ด้วย การวิเคราะห์มโนทัศน์ลักษณะการแปรเปลี่ยนของเต๋าหรือกระบวนการดำเนินไปของธรรมชาติในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง จึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับการพิจารณา เพื่อดูว่าอาการของความแปรเปลี่ยนเหล่านี้จะนำไปสู่การปรับปรุงมนุษย์ และสังคมตามอุดมคติของเหลาจื้อได้อย่างไรบ้าง ในบทที่หนึ่งเปิดเรื่องด้วยการกล่าวถึงลักษณะของเต๋าไว้ดังนี้
“เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ
ชื่อที่ตั้งให้กันได้ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง
เต๋านั้นมิอาจอธิบาย และมิอาจตั้งชื่อ
เมื่อไร้ชื่อทำฉันใดจักทำให้ผู้อื่นรู้
ข้าพเจ้าขอเรียกสิ่งนั้นว่า “เต๋า” ไปพลางๆ
เมื่อไร้นามไร้สภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าดิน
เมื่อมีนามมีสภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่ง
ดำรงตนอยู่ในความไร้สภาวะ
จึงทราบบ่อเกิดของจักรวาล
ดำรงตนอยู่ในสภาวะ
ย่อมแลเห็นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์
ทั้งความมีและไร้มีบ่อเกิดแห่งเดียวกัน
แต่แตกต่างเมื่อปรากฏออก
บ่อเกิดนั้นสุดลึกล้ำ
ความลึกล้ำสุดแสนนั้น
คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพสิ่งชีวิต”[2]
ตามที่คัมภีร์กล่าวไว้จะเห็นได้ว่า “เต๋า” คือบ่อเกิดของสรรพสิ่ง “เต๋า” ในความหมายนี้คือสิ่งเร้นลับที่มีศักยภาพในการแปรเปลี่ยนออกมาเป็นทั้งความมีสภาวะและความไร้สภาวะ หากมนุษย์สามารถดำรงตนให้อยู่ในสัมพันธภาพระหว่างความมีสภาวะและความไร้สภาวะ ก็สามารถเข้าใจปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์และแปรเปลี่ยนออกไปจากเต๋าในลักษณะต่างๆ กันออกไป อันเหลาจื่อที่เชื่อว่าจะนำไปสู่การรู้แจ้งในที่สุด
อย่างไรก็ดีในบางบทของคัมภีร์ก็มีการกล่าวไว้ว่า “เต๋า” นั้นไม่มีการแปรเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้คัมภีร์มีเนื้อหาขัดกันเองได้ เพราะบางบทก็มีการกล่าวถึงเต๋าว่ามีการแปรเปลี่ยน จึงควรจะมาพิจารณาปัญหานี้ก่อน เพื่อดูว่าคัมภีร์มีเนื้อหาที่ขัดแย้งกันเองหรือไม่ ดังจะเห็นได้ว่าในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงทั้ง 81 บท มีอยู่เพียงบทเดียวที่กล่าวอย่างชัดเจนว่าเต๋าเป็นสิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยน
“ก่อนการดำรงอยู่ของฟ้าและดิน
มีบางสิ่งบางอย่างมืดมัวเคลือบคลุม
เงียบงันโดดเดี่ยว
อยู่เพียงลำพัง ไม่แปรเปลี่ยน
เป็นอมตะหมุนเวียนไม่หยุดยั้ง
มีค่าควรเป็นมารดาของสรรพสิ่ง..”[1]
ตามความหมายของบทนี้ก็อาจทำให้ตีความได้ว่าเต๋านั้นเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง แต่ตัวเต๋าไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจทำให้ฟังดูขัดแย้งกันเอง อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยมองว่า “ความไม่แปรเปลี่ยน” ของเต๋านั้นอาจมีได้ 3 แง่มุม
แง่มุมที่หนึ่ง คือ เต๋าเป็นสิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยน ในเวลาก่อนที่จะมีสรรพสิ่งขึ้นในโลกขึ้น ดังในบทตัวอย่างที่ยกมาก็มีการกำหนดช่วงเวลาให้รู้ไว้ว่า “ก่อนการดำรงอยู่ของฟ้าดิน” มีบางสิ่งไม่แปรเปลี่ยน แต่เนื่องจากในเวลาปัจจุบันนั้นมีฟ้าดินเกิดแล้ว ตามตรรกะก็ไม่จำเป็นต้องตีความว่า เต๋ายังคงไม่แปรเปลี่ยนเหมือนเดิม เต๋าอาจจะแปรเปลี่ยนไปก็ได้หลังจากที่มีฟ้าดินแล้ว
แง่มุมที่สอง คือ ความไม่แปรเปลี่ยนในแง่กฏเกณฑ์ของเต๋าที่ดำเนินอยู่ในธรรมชาติ
“...กลับไปสู่ธรรมชาติเดิมของตน
ยอมค้นพบกฏเกณฑ์อันไม่แปรเปลี่ยน
เมื่อทราบกฏเกณฑ์อัมไม่แปรเปลี่ยน
จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้รู้แจ้ง..”[2]
ความไม่แปรเปลี่ยนในแง่นี้อาจมองได้ว่ามิได้หมายถึง “เต๋าที่ไม่แปรเปลี่ยน” หากแต่หมายถึงตัวหลักการหรือทฤษฎีเกี่ยวกับเต๋าที่เหลาจื่อเสนอนั้นเป็นสัจธรรมที่ไม่แปรเปลี่ยน เนื่องจากคำในภาษาจีนมีความหมายที่ลื่นไหล[1] ยิ่งถ้าเป็นภาษาจีนในคัมภีร์โบราณด้วยแล้วยิ่งต้องอาศัยการตีความอย่างมาก ในหนังสือ “Lao Tzu: Text, Notes and Comments” เฉิน กู่-อิง อธิบายความไม่แปรเปลี่ยนในที่นี้ว่าคือ “constancy” ที่หมายถึง ความไม่แปรเปลี่ยนในตัวหลักการ มากกว่าที่จะหมายถึงสิ่งที่ตัวการนั้นกล่าวถึง (This term “constancy” refers to the unchanging principle which maintain the processes of movement and changes in the universe.)[2]
ดังนั้น ความไม่แปรเปลี่ยนในที่นี้จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับสารัตถะของเต๋าแต่อย่างไร หากแต่หมายถึงว่า “สิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยน คือ หลักการของความแปรเปลี่ยน” นั้นเอง
แง่มุมที่สาม คือ ความไม่แปรเปลี่ยนในความเป็นเต๋า
“เต๋าอันยิ่งใหญ่นั้นไหลบ่าท่วมท้นไปทุกหน..
เต๋าถนอนและบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่ง..
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าเต๋าเป็นสิ่งเล็ก
และจากการเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสิ่ง
ก็อาจกล่าวได้อีกว่าเต๋าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่”[3]
จากความดังกล่าวไม่ว่าเต๋าจะอยู่ในสิ่งเล็กหรือสิ่งใหญ่ เต๋าก็ยังคงเป็นเต๋าไม่แปรเปลี่ยน ความไม่แปรเปลี่ยนในแง่นี้ เกิดจากการที่เต๋าเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งในจักรวาล ทุกสิ่งในจักรวาลย่อมต้องมีความเป็นเต๋าอยู่ด้วย ความหมายของข้อความนี้จึงไม่ได้หมายความว่าเต๋าเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนหรือไม่แปรเปลี่ยนอย่างหนึ่งอย่างใด หากแต่ทำให้หมายความว่า ไม่ว่าสรรพสิ่งจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นอย่างไรก็ตาม เอกภาพของเต๋าก็จะยังคงดำรงอยู่เสมอ เต๋าก็จะยังเป็นเต๋าอยู่นั้นเอง จึงเห็นได้ว่าความไม่แปรเปลี่ยนของเต๋าที่กล่าวมาทั้งสามแง่มุมไม่ได้ขัดกับบทอื่นๆ ของคัมภีร์อีกมากมายที่มักจะกล่าวถึงความแปรเปลี่ยนของเต๋า
[1] โปรดดูรายละเอียดเกี่ยวกับการอภิปรายเรื่องความหมายของคำในภาษาจีนใน Chad Hansen,”Fa (Standards : Laws) and Meaning in Chinese Philosophy,” in Philosophy East & West, vol. 44,no.3 (Jult 1994):435-488.
[2] Ch’en Ku-ying, Lao Tzu : Text, Notes and Comments,p.112.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น