ภาพรวมของคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง
คัมภีร์เหลาจื่อหรือที่นิยมเรียกกันว่า “คัมภีร์เต๋าเต๋อจิง” เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นหลังคัมภีร์อี้จิง สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ร่วมสมัยกับคัมภีร์ของขงจื่อ ความลึกซึ่งของคัมภีร์นี้เป็นที่กล่าวขานในหมู่นักปราชญ์มาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาร่วมสองพันกว่าปี อย่างไรก็ดี วิถีสู่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ขงจื่อและเหลาจื้อก็นำเสนอออกมาแตกต่างกัน เช่น ขงจื่อมักจะนำเสนอปรัชญาของตนผ่านมิติเฉพาะแห่งกาลเทศะและประวัติศาสตร์ ต่างจากในคัมภีร์เต๋าเต๋าจิงที่มีมิติกาลเทศะรวมทั้งมิติบุคคลไม่ได้มีบทบาทสำคัญในคัมภีร์มาก การที่คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงให้ความสำคัญกับการเข้าใจ “เต๋า” ไม่ได้หมายความว่า คัมภีร์นี้จะเป็นคัมภีร์รหัสยลัทธิเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีความว่า จะเข้าใจสิ่งที่เหลาจื่อเรียกว่า “เต๋า” อย่างไร นักวิชาการปรัชญาจีน เช่น อาจารย์ดี.ซี.เลา (D.C. Lao) ให้ความเห็นสนับสนุนว่าคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงเป็นคัมภีร์แห่งการปกครอง ส่วนอาจารย์วิง-ซิท ซาน(Wing-tsit Chan) ก็เห็นร่วมกันว่าคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงไม่ได้เป็นคัมภีร์สำหรับผู้หลีกลี้สังคม แต่ “เป็นคัมภีร์สำหรับราชาปราชญ์ที่ไม่ได้ละทิ้งโลกและปกครองโดยไม่เข้าไปก้าวก่ายยุ่งเกี่ยว” และยังมีอาจารย์โรเจอร์ ที. เอมส์ (Roger T. Ames) ผู้แสดงความคิดเห็นว่า จุดมุ่งหมายของคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงน่าจะเป็นไปเพื่อทุกคนสามารถตระหนักรู้ในตัวตนและวิถีแห่งธรรมชาติ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตในสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมกับตนเอง ซึ่งแม้ว่าจะมิได้จำกัดเฉพาะผู้ปกครองเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ทั้งนี้การที่ประชาชนจะดำเนินชีวิตเช่นนี้ได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ปกครองสังคมที่ยึดวิธีการปกครองแบบ “เต๋า” ที่เพียงบำรุงเลี้ยงดู แต่ไม่ได้ก้าวก่ายด้วยเช่นกัน ตามที่กล่าวมา จึงอาจกล่าวได้ว่า คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงเป็นคัมภีร์รหัสยลัทธิ ที่มิได้สอนให้คนหลีกลี้สังคม แต่นำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันมากกว่า[1]
ดังเห็นได้ว่า แม้แนวคิดด้านการเมืองการปกครองจะเป็นเนื้อหาส่วนสำคัญของคัมภีร์นี้ก็ตาม แต่การวางหลักปกครองหรือหลักจริยธรรมในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงก็มิได้กล่าวอย่างลอยๆ หากแต่แต่วางอยู่บนรากฐานทางอภิปรัชญาเกี่ยวกับเต๋า และความแปรเปลี่ยนของธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญ การจะเข้าใจหลักการปกครองหรือหลักอื่นใด ๆ ที่อาจมีอยู่ในคัมภีร์นี้ได้อย่างสมบูรณ์จึงขาดไม่ได้ที่ต้องพิจราณาโลกทัศน์ทางอภิปรัชญาของเหลาจื่อเกี่ยวกับ “เต๋า” (Tao) และกระบวนการแปรเปลี่ยนตามธรรมชาติของเต๋าควบคู่กันไปด้วย